Friday, April 13, 2018

รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เทคโนโลยีสมัยใหม่แต่มีมากว่า 100 ปีแล้ว

รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เทคโนโลยีสมัยใหม่แต่มีมากว่า 100 ปีแล้ว

การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนยานพาหนะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นมาใช้กันตั้งแต่ร้อยปีก่อน ในปี 1828 Ányos Jedlik นักประดิษฐ์ วิศวกร และนักฟิสิกส์ชาวฮังกาเรียนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะขนาดเล็กที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นมา ต่อมาปี 1835 มีโปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh จากฮอลแลนด์ออกแบบรถขนาดเล็กที่ใช้พลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าตามหลักการทางฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday และผู้ช่วยของเขา Christopher Becker ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำการวิจัยต่อเนื่องจากโปรเฟสเซอร์ Stratingh เสียชีวิตเมื่อปี 1841

Ányos Jedlik สร้างรถขนาดเล็กที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในปี 1828


รถที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าของโปรเฟสเซอร์ Sibrandus Stratingh
ตามหลักการฟิสิกส์ของโปรเฟสเซอร์ Michael Faraday

ส่วนในประเทศอเมริกามี Thomas Davenport เป็นช่างตีเหล็กและเป็นผู้ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้ระบบไฟกระแสตรงได้เป็นคนแรกในปี 1834 เขาเอาสิ่งประดิษฐ์ของเขาไปให้โปรเฟสเซอร์ Turner แห่งมหาวิทยาลัย Middlebury College ดู และในปี 1835 เขาได้เผยแพร่ให้สาธารณชนดู โดยโทมัสได้ประดิษฐ์โมเดลรถไฟขึ้นมาแล้วเอามาติดมอเตอร์ไฟฟ้าที่เขาคิดเพื่อใช้เป็นพลังงาน และสิ่งประดิษฐ์ของเขาจึงเป็นต้นแบบของรถรางไฟฟ้าหรือที่เรียกว่ารถ trolley, tram, streetcars, และ locomotive และในปี 1837 เขาได้จดสิทธิบัตรมอเตอร์ไฟฟ้า (Patent #132) และเอามอเตอร์ไฟฟ้านั้มาใช้เป็นพลังงานให้กับรถยนต์ขนาดเล็กด้วย


ยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ เพื่อเอามาแทนที่รถม้า จึงถูกเรียกว่า "horseless carriage" (รถม้าที่ไม่ใช้ม้า) ในยุคนั้นแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนามาจนมีการใช้งานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากเว็บ www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html ได้เขียนเปรียบเทียบแบตเตอรี่ในยุคนั้นกับแบตเตอรี่ในสมัยใหม่ อย่างเช่น รถ Nissan Leaf และ Mitsubishi-MiEV ที่ผลิตในปี 2010 แบตเตอรี่ที่ใช้ก็มีประสิทธิภาพเท่ากับรถ Fritchle ที่วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ชาร์จเร็วก็เกิดขึ้นแล้ว (สามารถชาร์จได้ 80% ภายใน 10 นาที) สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟ เทคโนโลยีมอเตอร์ในกงล้อก็มีแล้ว (in-wheel motors) การชาร์จไฟจากการเบรค (regenerative braking) ก็มีแล้วตั้งแต่ยุคปลายปี 1800 ถึงต้นปี 1900 ยานพาหนะไฟฟ้าจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นและเข้ามาแทนที่รถม้าในยุคก่อน

รถ Fritchle ที่วิ่งได้ระยะทาง 100 ไมล์ (120 กม.) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

การสาธิตการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้รถไฟฟ้าโดย Mr. Harry Salvat ประธานบริษัท The Fashion Automobile Station, Inc.
ซึ่งทำความเร็วในการเปลี่ยนแบตได้เร็วเท่ากันหรือเร็วกว่าการเติมน้ำมันเต็มถังซะอีก


โฆษณาเครื่องชาร์จไฟใช้ในบ้านโดยบริษัท GE Electric ที่โฆษณาว่าขายได้กว่า 8,000 เครื่องแล้ว
จากนิตยสาร New York MOTOR AGE วันที่ 2 พฤษภาคม 1912 หน้าที่ 88

แคตตาล็อกโฆษณาขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วงปี 1895 - 1925 http://www.lowtechmagazine.com/overview-of-early-electric-cars.html


รถไฟฟ้ากำลังาร์จไฟปี 1905


รถ Electrobats เป็นยานพาหนะที่ใช้แบตเตอรี่ซึ่งถูกออกแบบและประดิษฐ์โดย Henry G. Morris
และ Pedro G. Salom ถูกใช้เป็นรถแท๊กซี่ในกรุงนิวยอร์คในปี 1898



ที่จริงแล้วยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้านั้นเกิดก่อนการคิดค้นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันถึง 50 ปี รถที่ใช้น้ำมันเป็นพลังงานคันแรกถูกประดิษฐ์โดย Karl Benz จดสิทธิบัตรในปี 1886


แบบจำลองรถที่ใช้เครื่องยนต์น้ำมันประดิษฐ์ในปี 1886 โดย Karl Benz

ช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 คือยุคทองแห่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพราะใช้งานง่ายกว่ารถที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มผู้หญิงเนื่องจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ต้องสตาร์ทเครื่องด้วยการใช้ข้อเหวี่ยง (crank) จึงไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งาน

Stock Footage - VINTAGE. HAND CRANK. FRUSTRATED DRIVER (1910s) / CARS



Jay Leno เป็นเจ้าของคอลเลคชั่นรถโบราณ สาธิตการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตโดยบริษัท Baker ตั้งแต่ปี 1909 (วิ่งได้ 22 ไมล์ต่อชั่วโมง และวิ่งได้ประมาณ 100 ไมล์ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง) เปรียบเทียบกับฟอร์ดโฟกัสรุ่นที่ใช้ไฟฟ้า


การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงมากในปี 1912 ขณะนั้นในประเทศอเมริกามีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนนราว 30,000 คัน 2 ใน 3 คันเป็นยานพาหนะส่วนตัว และในยุโรปมีประมาณ 4,000 คัน หลังจากนั้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะว่าวิ่งเร็วกว่า วิ่งได้ระยะทางไกลมากกว่า (ไม่ใช่เพราะว่ามีพลังงานมากกว่า แต่เป็นเพราะมีปั๊มให้เติมน้ำมันเยอะกว่าสถานีชาร์จไฟของรถไฟฟ้า) ในปี 1908 บริษัทฟอร์ดได้ผลิตรถรุ่น Model-T ออกมาซึ่งขายในราคาแค่ 850 เหรียญ แล้วพอถึงปี 1912 ฟอร์ดลดราคาขายลงเหลือแค่ 650 เหรียญ และในปีเดียวกันรถยนต์น้ำมันที่ใช้การสตาร์ทด้วยระบบไฟฟ้าก็ออกมา พอมาช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ราคาน้ำมันก็เริ่มถูกลง มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจึงได้รับความนิยมมากขึ้นและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็เริ่มหายไป (http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html)


อ้างอิง
1) https://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Parker_(inventor)
2)https://www.eee.hku.hk/doc/ccchan/CC_Chan_IEEE%20Proceedings%20The%20rise%20&%20fall%20of%20EVs.pdf
3) http://www.edisontechcenter.org/DavenportThomas.html
4) http://www.electricvehiclesnews.com/History/historyearlyII.htm
5) http://www.lowtechmagazine.com/2010/05/the-status-quo-of-electric-cars-better-batteries-same-range.html
6) http://www.lowtechmagazine.com/overview-of-early-electric-cars.html
7) https://www.chuckstoyland.com/category/automotive/early-electric-cars/electric-early-suppliers/electric-general-electric-motors/
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Tuesday, April 10, 2018

เบื้องหลังธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Motors

เบื้องหลังธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Motors

ชื่อของนิโคลา เทสลาเริ่มเป็นที่รู้จักจากยี่ห้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าของ Elon Musk ที่เขาได้เข้ามาลงทุนกับบริษัท Tesla, Inc. (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Tesla Motors) ในครั้งแรกเป็นเงิน 7.5 ล้านเหรียญในปี 2004 หลังจากที่เขาขาย PayPal ให้กับ ebay ได้ในราคา 180 ล้านเหรียญ ตอนนั้นอีลอนยังไม่ได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารงานใน Tesla เพียงแต่เป็นกรรมการและเป็นผู้ลงทุน ปัจจุบันเขาเป็น CEO และมีหุ้นเยอะที่สุดใน Tesla Motors (20.5%)


ในยุคเริ่มต้นบริษัท Tesla เริ่มก่อตั้งโดย Martin Eberhard และ Marc Tarpenning เมื่อปี 2003 โดยที่มาร์ตินจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้า และมาร์คจบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ซึ่งเคยทำงาน ด้านการพัฒนาซอฟท์แวร์ให้กับบริษัท Textron ในประเทศซาอุดีอาระเบีย มาร์ตินและมาร์คเป็นเป็นเพื่อนกันทั้งคู่เคยร่วมกันทำบริษัท Nuvomedia (ทำเกี่ยวกับ E-Book) ต่อมาขายให้กับ Gemstar - TV Guide International ได้ 187 ล้านเหรียญแล้วใช้เงินนี้ลงทุนทำบริษัท Tesla ร่วมกัน ในปีแรกมาร์ตินและมาร์คพยายามทำรถต้นแบบรุ่นแรกคือ Tesla Roadster โดยมีบริษัท AC Propulsion ดูแลเรื่องการส่งกำลัง (powertrain) และบริษัท Lotus ดูด้านตัวถังและโครงสร้างของรถ
Marc Tarpenning และ Martin Eberhard

จนประมาณต้นปี 2004 ที่อีลอนสนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ขณะนั้นมาร์ตินเป็น CEO (Chief Executive Officer) ดูแลงานด้านบริหารและมาร์คเป็น CFO (Chief Financial Officer) ดูแลด้านการเงิน Tesla Roadster เป็นรถรุ่นแรกของ Tesla ที่มีดีไซน์แบบรถสปอร์ตยุคเก่าแต่ใช้ระบบพลังงานไฟฟ้า ซึ่งออกตัวช่วงปลายปี 2006 ขายในราคา 100,000 เหรียญ

เอกสารที่บริษัท Tesla ออกให้กับลูกค้าที่จองรถรุ่นแรก

แต่พอปี 2007 มาร์ตินฟ้องอีลอนในความพยายามเข้ามาควบคุมบริษัทและเป็นเหตุให้เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมา เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2007 ขณะที่มาร์ตินกำลังอยู่ใน L.A. เพื่อร่วมประชุมและพูดคุยกับสื่อในแวดวงยานยนต์เกี่ยวกับอนาคตของรถพลังงานไฟฟ้าและแผนทางธุรกิจของบริษัท เขาได้รับโทรศัพท์จากอีลอนซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการของ Tesla และเป็นผู้ลงทุนหลักของบริษัท อีลอนโทรมาแจ้งข่าวร้ายกับมาร์ตินว่าเขาถูกปลดจากการเป็น CEO เนื่องจากการคณะกรรมการของบริษัทได้ประชุมและลงความเห็นกันแล้วโดยที่จะมี Michael Marks เข้ามาเป็น CEO แทน และในวันที่ 8 สิงหาคม 2007 มาร์ตินลาออกจากตำแหน่ง CEO และรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการด้านเทคโนโลยี (President of Technology) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นเชิงให้เกียรติเขา แต่โดยตำแหน่งนี้เขาไม่ได้มีหน้าที่ในการบริหารงานให้บริษัท Tesla อีกแล้ว ต่อมามาร์ตินถูกบีบหลายทางจากอีลอนเพื่อให้เขาลาออก สุดท้ายเขาลาออกจากบริษัท Tesla ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2007 และมาร์คเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทจากเดิมที่เป็น CFO ตอนหลังดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการ (ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า) และออกจากบริษัทเมื่อปี 2008

มาร์ตินฟ้องอีลอนที่พยายาม "เขียนประวัติศาสตร์ใหม่" เพื่อให้เครดิตตัวเองในการพัฒนารถรุ่นแรก Tesla Roadster และกลั่นแกล้งโดยการใส่ร้ายทำให้เขาต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง (ตอนนั้นอีลอนเขียน blog กล่าวหาว่ามาร์ตินเป็นสาเหตุทำให้ Tesla Roadster ออกวางขายช้าและทำให้ราคาต้นทุนสูงขึ้น) รายละเอียดเอกสารฟ้องสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.businessinsider.com/tesla-the-origin-story-2014-10

ชื่อบริษัท Tesla เป็นชื่อที่ถูกตั้งโดยมาร์ตินเพราะเขาต้องการให้เครดิตกับนิโคลา เทสลา เนื่องจากเขาตั้งใจจะใช้AC induction motor (มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดเหนี่ยวนำ) ที่ถูกคิดค้นโดยเทสลาและเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่จดไว้ตั้งแต่ปี 1888


อ้างอิง
1) https://en.wikipedia.org/wiki/Marc_Tarpenning
2) https://www.greentechmedia.com/articles/read/teslas-elon-musk-rebuts-claims-by-martin-eberhard#gs.OnQwPlM
3) https://www.wired.com/2009/06/eberhard/
4) http://www.businessinsider.com/tesla-roadster-history-2016-3
5) http://www.businessinsider.com/how-elon-musk-fired-tesla-ceo-2014-11

Thursday, March 29, 2018

แมกซ์ โลแฮน เด็กโฮมสคูลอายุ 13 มีเทสลาเป็นไอดอล

แมกซ์เด็กชายอายุ 13 ปี ชอบวิทยาศาสตร์มาก มีห้องแล๊บของตัวเองเป็นห้องทำความร้อนของบ้าน และมีไอดอลเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเทสลาและไอน์สไตน์ เขาอยากทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นกว่านี้และเขาบอกว่า "ถ้าคุณมีพลังงานก็หมายถึงคุณมีอำนาจ คุณก็ทำได้ทุกอย่าง" แมกซ์ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบใช้พลังงานธรรมชาติจากกระป๋องกาแฟ ขดลวด คอล์ยสองตัว และช้อนหนึ่งคัน หมดเงินไป 15 เหรียญ เครื่องนี้สามารถสร้างคลื่นวิทยุได้ ให้ความร้อน และให้พลังงานที่คงที่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนมาเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ลองทำการทดสอบโดยเอาเครื่องมาตั้งข้างนอกแล้วเอาสายไฟ LED พันรอบตัวฝาแฝดของแมกซ์ดู มันก็ทำงานได้จริง แมกซ์กล่าวว่า "มันอาจจะฟังดูเชย แต่ผมรู้ว่าผมเกิดมาทำไม ผมเกิดมาเพื่อคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่จะนำไปสู่อนาคต" 

แมกซ์อายุ 13 ปีกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากพลังงานธรรมชาติ

แมกซ์บอกว่า "ถ้าเราจะทำให้โลกดีขึ้น ก็คือเราต้องให้ในสิ่งที่โลกยังไม่มี คนจะได้ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อความต้องการพื้นฐานอย่างพลังงานนี่แหละ" เขากล่าวต่อว่า "เป้าหมายจริง ๆ ของผมคือสร้างอนาคตที่ทุกคนจะมีความสุข ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีและรู้สึกปลอดภัย"


ในคลิปที่สองนี้แมกซ์อัดไว้ตอนอายุ 12 ปี
เขาพาชมห้องแล๊บและทำคลิปขึ้นมาเพื่อแนะนำตัวเอง หลายอย่างที่แมกซ์คิดและพูดไว้อาจจะดูเกินอายุมาก แต่ก็น่าสนใจ

Max Laughan เรียนแบบโฮมสคูล อายุ 12 ปี จากเนวาดา สหรัฐอเมริกา

แมกซ์เป็นเด็กชายอายุเพียง 12 ปี อาศัยอยู่ที่รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในคลิปวิดีโอนี้แมกซ์บอกว่าเพิ่งเริ่มทำโฮมสคูลได้ปีแรก เขารู้สึกชอบมันมากและตอนนี้แมกซ์กำลังเรียนคอร์สออนไลน์ของ MIT อยู่ด้วย นี่คือห้องแล๊บของเขาที่เป็นห้องทำความร้อนของบ้าน (boiler room) แมกซ์ใช้เป็นที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์และทำการทดลองต่าง ๆ เขากำลังทำงานเจ๋ง ๆ อยู่หลายอย่างและทุกอย่างกำลังไปได้ดี ยกตัวอย่างเช่น การคำนวณเพื่อออกแบบเครื่องฟิวชั่น ออกแบบจรวด สร้างโดรน ซึ่งแมกซ์อธิบายว่า "โชคไม่ดีที่ตอนนี้ไม่มีให้ดูเพราะมันตกไปแล้ว ในความเห็นของผมถ้าเกิดปัญหาการตกหรือมีอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับการบินแบบนี้ จะมีอยู่สองประเด็นคือ ข้อบกพร่องจากการปล่อยหรือเป็นเรื่องของการออกแบบ สำหรับกรณีของผมมันเป็นเรื่องของการปล่อย เชื่อผมสิ" 

แมกซ์ยังสร้างหุ่นยนต์ด้วยและนี่เป็นหุ่นยนต์ที่เขาออกแบบเอง แมกซ์บอกว่ามันช่วยให้เขาหาวิธีที่ต้องข้ามอุปสรรคให้ได้ มันทำให้เขาหาวิธีแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ ๆ แมกซ์อธิบายว่า "เช่นถ้าหุ่นยนต์มันล้มลงแบบนี้ เราจะปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้นไหม ไม่สิ เราต้องทำให้มันลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้ ผมเขียนโปรแกรมให้มันทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แต่การหาวิธีแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุด" แมกซ์บอกว่าการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุด แมกซ์ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก ๆ และรู้มาตลอดว่าเขามาเพื่อจะแก้ปัญหาต่าง ๆ มันอาจจะฟังดูเชยแต่เขารู้ตัวว่าเขาเกิดมาเพื่อช่วยโลกใบนี้ 

แมกซ์เล่าต่อว่าเขาไม่ได้สนใจแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียวเขาชอบเล่นกีฬาด้วย บางครั้งในช่วงฤดูหนาวเขาจะไปเล่น biathlon มันคือการผสมกันของกีฬาสองประเภทคือยิงปืนไรเฟิลกับเล่นสกี แมกซ์บอกว่า "มันยากมากแต่มันก็สอนหลักการใช้ชีวิตพื้นฐานให้เรา อย่างเช่นตอนเวลาที่คุณคิดว่าจะหยุดจะไม่ทำต่อละ เราต้องฝืนใจทำอีกหน่อยและนั่นแหละคือสิ่งที่คุณทำได้จริง ๆ" 

แมกซ์ชอบอ่านการ์ตูนและแมกซ์คิดว่าการ์ตูนมันช่วยทำให้คิดและได้จินตนาการไปได้ไกลกว่าที่เรารู้ และเขายังเขียนการ์ตูนเองด้วยตั้งแต่หกขวบ เขายังถ่ายเอกสารเอาไปแจกที่ร้านหนังสือและแต่ก่อนก็เอาไปแจกให้เพื่อนที่โรงเรียนด้วย พอพูดถึงเรื่องหนังสือแล้วแมกซ์ชอบการอ่านมาก เขาพูดว่า "ผมไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นแบบนี้เลย ผมต้องทำงานหนักมากกว่าจะได้มาถึงตรงจุดนี้ด้วยวิธีการอ่านหนังสือ" เขาอ่านหนังสือหลายเล่มโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับฟิสิกส์  แมกซ์ชอบเอาสิ่งที่เรียนรู้มามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เขาบอกว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบทำคือการเอาสิ่งที่อยู่ในหนังสือมาใช้ในชีวิตจริง มันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากแต่มันก็เป็นการได้เปรียบเทียบที่ดีทีเดียว" แมกซ์กล่าวขอบคุณที่ดูคลิปวิดีโอนี้ แมกซ์หวังไว้ว่า Space X น่าจะเป็นที่ที่เขาได้ทำงาน ไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์กับตัวเขาเองที่จะได้เรียนรู้ให้มากขึ้น แต่ไอเดียของเขาจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย เขาพูดว่า "ถ้าผมมีความรู้แบบนักวิทยาศาสตร์และมีจินตนาการแบบเด็กอายุ 12 ปี คุณจะขออะไรอีกล่ะ"


คลิปที่สามแมกซ์ได้ไปพูดในงาน Nexus Global Youth Summit 2016

แมกซ์พูดในพิธีเปิดการประชุมซัมมิทครั้งที่ 6 ของ Nexus Global Youth Summit ที่ NYC
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2559


ผู้ดำเนินรายการได้พูดถึงแมกซ์ในตอนแนะนำว่าเขาได้ดูคลิปที่แมกซ์ออกรายการโทรทัศน์เมื่อ 2-3 เดือนก่อนและได้โทรศัพท์คุยกัน เขาบอกว่าการได้คุยกับแมกซ์ทางโทรศัพท์ทำให้เขารู้สึกว่ากำลังได้คุยกับหนึ่งในคนที่มีความคิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตและมีความเป็นอาจารย์ด้วย เป็นอาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์ที่อายุแค่ 13 ปี และเป็นผู้พูดที่อายุน้อยที่สุดของ Nexus

ประเด็นแรกที่แมกซ์พูดคือการแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ แล้วเขามักจะนอนไม่หลับ แมกซ์รู้สึกว่าเขาทนไม่ได้ที่จะถูกบอกว่าเรื่องนั้นไม่มีทางทำได้สำเร็จ (มันเป็นไปไม่ได้) อย่างตอนที่เขาแก้ปัญหาควอนตัมฟิสิกส์ไม่ได้แล้วโดนสั่งให้เข้านอน เขาก็แกล้งทำเป็นว่าเข้านอนและรอให้ทุกคนหลับ แล้วก็กลับไปที่ห้องแล๊บอีกครั้งทำงานจนเช้า ซึ่งในที่สุดเขาหาข้อผิดพลาดเจอและแก้ปัญหาจนได้ แมกซ์อธิบายคำว่า "เป็นไปไม่ได้" มันน่าจะถูกนิยามใหม่คือ "ยังไม่รู้วิธี" มากกว่า

แมกซ์ค่อนข้างตื่นเต้นกับการพูดบนเวที แต่มีประเด็นนึงที่เขาพูดได้น่าสนใจคือเรื่องของอนาคต เขาได้ดูหนัง Back to the Future (1985) ทั้งสามภาคและได้รับรู้ว่าภาพแห่งอนาคตควรจะเป็นเช่นไรจากการที่หนังเรื่องนี้ได้พยายามอธิบายออกมา เขาบอกว่ามันน่าทึ่งมาก แมกซ์พูดได้ชัดเจนดีประเด็นเรื่องของอนาคตเขาบอกว่า "แต่จนตอนนี้ปี 2015 ที่เพิ่งผ่านไปเราก็ยังไม่มี hoverboard ให้ใช้ อันที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ Segway ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย เราคิดว่าเราจะมีรถเหาะได้ แต่เรากลับได้รถไฟฟ้ามาซึ่งที่จริงแล้วมันมีตั้งแต่ปี 1828 นู่นแล้ว คือมันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ปัญหาของเราคืออะไรกันแน่ เรายังสร้างสรรค์ไม่พอหรือเปล่า หรือเรายังพยายามไม่พอ ผมว่าโชคร้ายที่พวกเราส่วนใหญ่ได้แต่ตั้งความหวังรอ นี่แหละปัญหาใหญ่ของเรา เรามัวแต่รอแทนที่จะพยายามขวนขวายไปให้ถึงอนาคตนั้น แล้วสร้างมันออกมา ดูเหมือนว่าเรามัวแต่รอให้มีคนมาเซิร์ฟสิ่งนั้นบนจานให้เรา"



แมกซ์เล่าว่าเขาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อแก้ปัญหาที่เจอด้วยทรัพยาการที่มีอย่างจำกัด ทั้งออกแบบ สร้างมันออกมา และทดสอบมัน แทนที่จะมัวแต่เล่นวิดีโอเกมและดูโทรทัศน์ เขาเล่าว่า "ผมได้ประดิษฐ์สิ่งที่คิดว่ามันจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้ ตอนผม 5ขวบครึ่งผมสามารถแก้โจทย์สมการเลขที่ซับซ้อนได้ในขณะที่เพื่อน ๆ ในชั้นกำลังเรียนเรื่องการบวกและลบอยู่ ครูต้องเอาเกมคณิตศาสตร์ให้ผมทำเพื่อให้ผมหยุดคุย ตอน 6 ขวบผมเริ่มเขียนโปรแกรมด้วย C++ ซึ่งนำไปสู่การ hack คอมของโรงเรียนตอนผม 7 ขวบ ตอน 8 ขวบผมผสมระเบิดของเหลวได้ และก็เพิ่งอ่านตำราฟิสิกส์เล่มยักษ์เล่มที่ 5 จบ ตอน 9 ขวบผมทำธุรกิจเล็ก ๆ ให้เพื่อนเอาอุปกรณ์เทคโนโลยีที่เสียแล้วมาให้ผมซ่อม ตอน 10 ขวบผมเรียนจบคอร์สแรก (จาก 3 คอร์ส) ซึ่งเป็นคอร์สออนไลน์ของ MIT เรื่องหุ่นยนต์และควอนตัมฟิสิกส์ ตอน 11 ขวบผมทำจรวดเครื่องยนต์แบบ hydrofluorocarbon และทำหุ่นยนต์แบบ humanoid เสร็จซึ่งต่อสู้เก่งมากด้วย ผมประดิษฐ์ตัวส่งสัญญาณด้วยวงจรประสาทแบบใหม่ (neuro-cranial transmitter) ที่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้ กลัวผมบ้างหรือยังเนี้ย (หัวเราะ) จน 12 ขวบผมได้ศึกษาควอนตัมฟิสิกส์อย่างลึกซึ้งและเริ่มบริษัทของตัวเอง Loughan Labs LLC" แมกซ์ยังพูดต่ออีกเรื่องสิ่งประดิษฐ์ของเขาที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบใช้พลังงานธรรมชาติโดยใช้องค์ความรู้ของ electromagnetic ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าซึ่งสามารถใช้เป็นพลังงานได้ฟรี โดยเขาใช้เครื่องเอาไว้ชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าซึ่งเขาภูมิใจมาก

สิ่งที่แมกซ์ทำคือพยายามเอาความรู้ที่ศึกษามา มาประดิษฐ์สิ่งของที่ใช้ได้จริง เอามาแก้ปัญหาได้จริง ซึ่งเทสลาเคยพูดถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไว้ว่า "ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนใช้ตัวเลขมาแทนที่การทดลอง และพวกเขาก็สาละวนอยู่กับการแก้สมการไปมา แล้วในที่สุดก็ได้โครงร่างบางอย่างออกมาโดยที่ไม่ได้สัมพันธ์อะไรกับความเป็นจริงเลย"





คลิปที่ 4 แมกซ์พูดถึงสิ่งประดิษฐ์ของเขาที่จะช่วยโลกได้
แมกซ์เล่าให้ฟังเรื่องการเปลี่ยนพลังงานธรรมชาติให้มาเป็นกระแสไฟฟ้าด้วยความรู้ electromagnetic อย่างที่เขาประดิษฐ์และทดลองมาแล้ว เขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องพลังงานให้โลกได้ สิ่งที่แมกซ์ต้องการคือการสนับสนุน เขาเล่าว่า "ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คนที่คิดแบบผมถูกดำเนินคดี ถูกฆ่า ถูกฆาตกรรม มีสิ่งแย่ ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ถ้าผมได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ คน ผมคิดว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้วในยุคสมัยนี้ ถ้าคุณคิดว่าอยากให้โลกดีขึ้นกว่านี้ ก็แค่ให้การสนับสนุนก็พอ"



แมกซ์ นักฟิสิกส์อายุ 13 ปี

คนสัมภาษณ์เป็นนักเขียนหนังสือของเขาเกี่ยวกับพระเจ้า เขาถามแมกซ์ว่าในมุมมองของแมกซ์ พระเจ้าคืออะไร? แมกซ์ตอบอย่างน่าสนใจโดยใช้มุมมองของควอนตัมฟิสิกส์อธิบายว่า "ผมคิดว่าพระเจ้าคือพลังงานบางอย่างที่สร้างเราขึ้นมา เป็นเราทุกคน อยู่ทุกที่ และขณะเดียวกันก็ไม่มีอยู่ พระเจ้าหรือพลังงานอยู่ในตัวเรา และที่จริงก็คือเรานี่แหละ" (เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนแต่ก็เป็นมุมมองของแมกซ์ที่ประยุกต์ใช้ความรู้และหลักการเชิงฟิสิกส์อธิบายตามความเห็นของเขา ซึ่งแมกซ์สามารถพูดและแสดงความเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา - ผู้แปล)


คลิปที่ 5 แมกซ์พูดถึงจักรวาล อวกาศ มิติทางกาลเวลา


เรื่องที่แมกซ์พูดเกี่ยวกับจักรวาล อวกาศ และมิติทางกาลเวลายากเกินกว่าความสามารถของผู้แปล แต่เอามารวมไว้ด้วยกันเผื่อมีผู้ที่มีความรู้ด้านนี้สนใจฟัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่แมกซ์พูดเป็นการแสดงความเห็นตามความเข้าใจของเขา และในฐานะของผู้รับสารเราก็ควรต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาข้อมูลไปด้วย - ผู้แปล

---------------------------------------------------------------------


Tuesday, March 27, 2018

นิโคลา เทสลา ต้นกำเนิดแห่งเทคโนโลยีส่งสัญญาณแบบไร้สาย

นิโคลา เทสลา เกิดวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2399 ที่เมือง Smiljan จักรวรรดิออสเตรีย (ปัจจุบันคือประเทศโครเอเชีย) เขาย้ายมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อตอนอายุ 35 ปี และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2486 (อายุ 86 ปี)


รูปปั้นของนิโคลา เทสลา ณ อนุสรณ์สถานแห่งนิโคลา เทสลา ในเมือง Smiljan


สถานที่เกิดของนิโคลา เทสลา

ในยุคต้นศตวรรษที่ 20 นิโคลา เทสลามีชื่อเสียงมากในฐานะที่เป็นนักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า ฯลฯ เขาเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรเกือบ 300 รายการจาก 26 ประเทศ และผลงานประดิษฐ์ของเขามีอิทธิพลต่อเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมากมาย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบไร้สาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของเทสลากลับเลือนหายไปกับกาลเวลา และชื่อของเขาเพิ่งกลับมาได้รับความสนใจเมื่อไม่นานมานี้จากรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Tesla ที่ Elon Musk มีหุ้นอยู่ 20.5%

สิทธิบัตรของเทสลาส่วนใหญ่จดอยู่ใน 3 ประเทศหลัก ๆ คือสหรัฐอเมริกา (111 ฉบับ) อังกฤษ (29 ฉบับ) และแคนาดา (7 ฉบับ) ที่จริงแล้วสิทธิบัตรของเทสลายังมีอยู่จำนวนหนึ่งที่สูญหายไปพร้อมกับทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่ถูกรัฐบาลของอเมริกายึดไปจากห้องพักหลังจากที่เขาเสียชีวิต เอกสารของเทสลาสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บของ FBI https://vault.fbi.gov/nikola-tesla



https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Nikola_Tesla_patents#Anomalies
ในนี้มีลิงค์ให้ดาวน์โหลดสิทธิบัตรให้ใช้ศึกษาข้อมูลได้ฟรี


Timeline ชีวิตและการทำงานของเทสลาจาก www.teslabook.fw.hu/nikola%20tesla_2015_en.htm#a34



ประวัติศาสตร์การส่งพลังงานแบบไร้สาย
  • ปี 1893 นิโคลา เทสลาเป็นนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถส่งพลังงานแบบไร้สายได้จากการสาธิตการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังหลอดไฟในการบรรยายที่เมืองชิคาโก
  • ต่อมาปี 1894 เทสลาทำให้หลอดไฟขั้วเดียวส่องสว่างได้ใน NYC โดยวิธีการเหนี่ยวนำไฟฟ้ากระแสสลับ (electrodynamic induction)
  • ในปี 1896 เทสลาส่งสัญญาณได้ไกลถึง 48 กม./30 ไมล์
  • ต่อมาปี 1897 กูลเยลโม มาร์โกนี วิศวกรไฟฟ้าชาวอิตาลี ส่งรหัสมอร์สผ่านคลื่นสัญญาณคลื่นวิทยุได้ในระยะทาง 6 กม./4 ไมล์
  • ต่อมาปี 1898 ไฮน์ริช เฮิรตซ์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันยืนยันการมีอยู่จริงของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
  • ในปี 1901 กูลเยลโม มาร์โกนี ส่งสัญญาณข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เทสลาประดิษฐ์ และถูกเทสลาฟ้องเพราะละเมิดสิทธิบัตรของเทสลา สุดท้ายเทสลาชนะคดีในปี 1943 (จะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้ในภายหลัง)

"มาร์โกนีเป็นมิตรที่ดี ปล่อยเขาทำไปเถอะ เขากำลังใช้สิทธิบัตรของผม 17 ชิ้นงาน" - นิโคลา เทสลา


รูปปั้นของเทสลาที่ Silicon Valley
เพื่อระลึกถึงความใฝ่ฝันของเขาที่ต้องการจะส่งพลังงานให้ทุกคนบนโลกได้ใช้ฟรี

สิ่งที่นิโคลา เทสลาคิดค้นและประดิษฐ์ออกมาถือว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้ แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขา พวกเราไม่ได้เคยเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของเขา ไม่เคยรู้ว่าสิ่งประดิษฐ์ของเขามีความสำคัญมากขนาดไหน แต่ตรงกันข้ามเรารู้จักชื่อของโทมัส อัลวา เอดิสันที่ประดิษฐ์หลอดไฟ ที่เป็นเจ้าของบริษัท General Electric (GE) และโทมัสเป็นคู่แข่งกับเทสลาที่พยายามกลั่นแกล้งและกีดกันการทำธุรกิจของเทสลาอยู่ตลอด (จะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้ในภายหลัง)

ลองดูคลิปนี้คนในอเมริการู้จักนิโคลา เทสลาหรือเปล่า Have You Heard of Nikola Tesla?



คุณเคยรู้จักนิโคลา เทสลาไหม?
คนที่ 1) เคยครับ ผมพยายามจะนึกว่าจริง ๆ แล้วเขาทำอะไรไว้บ้าง เอ่อ อย่างรถยนต์ก็ตั้งชื่อตามเขานะ

คนที่ 2) ผู้หญิง 1: เคยค่ะ ใช่คนที่วาดภาพอันนั้นหรือเปล่า...
            ผู้หญิง 2: ฉันไม่รู้จักอ่ะ
            ผู้หญิง 1: ฉันว่าเขาเป็นคนวาดภาพนกที่มันบินไปคนละทิศละทางหรือเปล่า ที่ดูเหมือนเป็นภาพตัวต่ออ่ะ
            ผู้หญิง 2: ไม่รู้อ่ะ
            ผู้หญิง 1: ฉันว่าเขาเป็นคนประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับโทรทัศน์นะ ฉันรู้แค่นี้แหละ

คนที่ 3) ครับรู้จัก ผมรู้ว่าเขาเป็นคนประดิษฐ์ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating current - AC) เขาประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับคลื่นวิทยุ แล้วเป็นนักประดิษฐ์ที่มีความสำคัญมากคนหนึ่งเลยในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา

คนที่ 4) ผมชื่อจิม ผมเกษียณแล้วจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ครับ เมื่อถูกถามว่าคุณเคยได้ยินชื่อนิโคลา เทสลาไหม? เขาตอบว่า "ไม่เคยครับ"

คนที่ 5) รู้จักครับ เขาประดิษฐ์เทสลาคอล์ย (Tesla coil) เขาเป็นคู่แข่งกับโทมัส เอดิสัน อยู่ระยะนึง เขาคิดระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (AC current) แต่เอดิสันต้องการใช้ระบบ DC (Direct current - ระบบไฟฟ้ากระแสตรง) เขาเป็นคนแปลก ๆ หน่อย แบบเป็นบ้าน่ะ แล้วเขาก็ตายอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็เป็นคนที่เจ๋งมากเลยนะ

คนที่ 6) ครับ ผมรู้จัก เขาเป็นวิศวกรไฟฟ้าระดับแนวหน้าในยุคแรก ๆ เลยครับ รู้แค่นั้นอ่ะครับ

คนที่ 7) อ๋อ รู้จักครับ นิโคลา เทสลาเป็นอัจฉริยะด้านพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าครับ แล้วก็เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าแรงสูง คอล์ย ที่จะเกิดผลกระทบแปลก ๆ กับสนามแม่เหล็กน่ะ

คนที่ 8) นิโคลา เทสลาเหรอครับ เอ่อ.. เคยได้ยินบ้างนะครับ ผมจำไม่ได้น่ะ แต่ก็เคยได้ยินชื่อหรืออ่านผ่านตาจากที่ไหนซักแห่ง

คนที่ 9) เคยครับผม เขาเป็นคนที่เยี่ยมมากเลย เขาเป็นคนคิดระบบไฟฟ้ากระแสสลับ และเป็นคู่แข่งกับเอดิสัน อ้ออ เขาเคยจะระเบิดรัสเซียด้วย เอ่อ.. ไม่ใช่รัสเซีย แต่เป็นถนน Fifth Avenue ในนิวยอร์คครับ ตอนที่เขากำลังทดลองกับเครื่องมือของเขาแล้วมันเกิดการผิดพลาดจนเขาเกือบทำถนน Fifth Avenue พัง เขาค่อนข้างร้ายกาจทีเดียวครับ


**ไว้ค่อยมาเล่าต่อนะ ประวัติของนิโคลา เทสลามีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเยอะมาก**
---------------------------------------------